อึดอัด อาย เปิดใจ 'ผายลมในที่สาธารณะ' ที่ไม่มีใครกล้าพูดถึง
แทรมโพลีนกับการขับแก๊ส ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพลำไส้ที่ผู้สูงอายุไม่ควรมองข้าม
นาทีนั้นเมื่อคุณกำลังรอคิวจ่ายเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต นั่งรถเมล์กลับบ้าน หรือกำลังประชุมสำคัญ ทันใดนั้น... เสียงที่ไม่พึงประสงค์ก็ดังขึ้น ใช่ครับ เสียง 'ตด' ที่ดังพอให้คนรอบข้างได้ยิน ความอับอายพุ่งขึ้นสูงปรี๊ด แต่สำหรับหลายคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องน่าอาย แต่คือความกังวลที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน
เรื่องที่ใครๆ ก็มี แต่ไม่มีใครกล้าพูด
ผลสำรวจล่าสุดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2023 พบว่า 82% ของคนไทยเคยประสบกับความอับอายจากการผายลมในที่สาธารณะ และตัวเลขนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 94% ในกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 70% ของผู้สูงอายุที่ตอบแบบสอบถามระบุว่า พวกเขาเคยหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกหรืองดกิจกรรมทางสังคม เพราะกลัวเหตุการณ์น่าอับอายเหล่านี้
แต่ก่อนที่คุณจะลดการเข้าสังคมหรือยอมแบกความกังวลนี้ไปเรื่อยๆ เราอาจมีวิธีที่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแก๊สในท้องอีกต่อไป การทำความเข้าใจกับร่างกายและจัดการกับสาเหตุที่แท้จริง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกความมั่นใจให้กับคุณ
ทำไมผู้สูงอายุถึงประสบปัญหาผายลมบ่อยกว่า?
ศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วิทยาศาสตร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร อธิบายว่า: "เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนักและระบบควบคุมการขับถ่ายจะเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้ควบคุมการผายลมได้ยากขึ้น ประกอบกับระบบย่อยอาหารที่ทำงานช้าลง และการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มผลิตแก๊สมากขึ้นและควบคุมได้ยากกว่า"
งานวิจัยจากวารสาร International Journal of Gastroenterology ในปี 2022 ยังพบว่า ผู้สูงอายุมีการผลิตแก๊สในลำไส้มากกว่าคนหนุ่มสาวถึง 25-40% ซึ่งเกิดจากการย่อยอาหารที่ช้าลงและการดูดซึมสารอาหารที่ลดลง
สาเหตุทั่วไปของการผายลมที่ควบคุมไม่ได้ในที่สาธารณะ
-
อาหารและการกิน
ดร.นภา โภชนาการทันสมัย นักโภชนาการชื่อดังและที่ปรึกษาด้านอาหารสำหรับผู้สูงอายุ อธิบายว่า: "อาหารบางประเภทมีแนวโน้มก่อให้เกิดแก๊สได้มากกว่า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารไม่แข็งแรงเท่าเดิม"
อาหารกลุ่มเสี่ยงที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก ได้แก่:- ถั่วชนิดต่างๆ
- กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ และผักตระกูลกะหล่ำ
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม (โดยเฉพาะในคนที่แพ้แลคโตส)
- เครื่องดื่มที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
- อาหารที่มีไขมันสูง
- ขนมปังและแป้งขัดขาว
- ผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิ้ล ลูกพลับ
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียวในปี 2023 ยังพบว่า การกินอาหารเร็วเกินไปและการเคี้ยวไม่ละเอียด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของแก๊สในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีฟันไม่ครบ
เลือกทานอาหารที่มี โพรไบโอติกส์ (Probiotics) และ พรีไบโอติกส์ (Prebiotics)
อาหารที่มี พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) และ โพรไบโอติกส์ (Probiotics) มีประโยชน์ต่อสุขภาพลำไส้ เพราะช่วยเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียดีในลำไส้
- Probiotics (โพรไบโอติกส์)
จุลินทรีย์มีชีวิตที่ดีต่อร่างกาย มักพบในอาหารหมักดอง เช่น:
- โยเกิร์ต – มีแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria)
- กิมจิ – ผักดองแบบเกาหลี
- มิโสะ – เต้าเจี้ยวบดญี่ปุ่น
- เทมเป้ – ถั่วเหลืองหมักแบบอินโดนีเซีย
- คอมบูชา – ชาหมัก
- นัตโตะ – ถั่วหมักของญี่ปุ่น
- ซาวเคราท์ – กะหล่ำปลีดองแบบเยอรมัน
- Prebiotics (พรีไบโอติกส์)
ใยอาหารที่แบคทีเรียดีใช้เป็นอาหาร ช่วยให้โพรไบโอติกส์เติบโต เช่น:- กระเทียม
- หอมหัวใหญ่
- กล้วย (โดยเฉพาะกล้วยดิบหรือกล้วยห่าม)
- หน่อไม้ฝรั่ง
- ต้นกระเทียม (leek)
- ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี
- รากชิโครี (chicory root)
- ผักโขม หรือผักใบเขียวที่มีไฟเบอร์สูง
-
การกลั้นอุจจาระและท้องผูก
นายแพทย์วิชัย สุขภาพดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กล่าวว่า "ปัญหาท้องผูกที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป ส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้มีเวลามากขึ้นในการย่อยสลายอาหารและผลิตแก๊ส นอกจากนี้ การกลั้นอุจจาระเป็นประจำยังอาจทำให้ลำไส้ขยายตัวและสูญเสียความตึงตัว ส่งผลต่อการควบคุมการขับถ่ายในระยะยาว"
งานวิจัยจาก Journal of Geriatric Medicine ยังยืนยันว่า ผู้สูงอายุที่มีปัญหาท้องผูกเรื้อรัง มีโอกาสเกิดภาวะกลั้นการผายลมไม่อยู่สูงกว่ากลุ่มที่ถ่ายอุจจาระปกติถึง 3 เท่า -
ยาและโรคประจำตัว
หลายคนไม่ทราบว่ายาที่ใช้รักษาโรคประจำตัว อาจเป็นสาเหตุของการผลิตแก๊สที่มากขึ้น ผศ.พญ.ศิริรัตน์ เภสัชวิทยา เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านยาสำหรับผู้สูงอายุ อธิบายว่า:
"ยาหลายชนิดที่ผู้สูงอายุใช้ประจำ อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น:- ยาลดความดันบางชนิด
- ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
- ยาต้านซึมเศร้า
- ยาลดไขมัน
- ยาเสริมธาตุเหล็ก"
เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ: รับมืออย่างไรให้มั่นใจในที่สาธารณะ
-
ปรับเปลี่ยนอาหารและวิธีการกิน
"การเลือกอาหารและวิธีการกินที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการปัญหาแก๊ส" ดร.นภากล่าว "ควรกินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด และแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ แทนการกินมื้อใหญ่ 3 มื้อ"
สำหรับวันที่ต้องไปงานสำคัญ หรือออกนอกบ้านเป็นเวลานาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารเสี่ยงอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อน
การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า สมุนไพรไทยบางชนิด เช่น ขิง ตะไคร้ และใบกะเพรา มีส่วนช่วยลดการเกิดแก๊สและช่วยขับลมได้ดี
-
การวางแผนการขับถ่ายและเดินทาง
คุณสมศรี อายุ 72 ปี อดีตพยาบาลวิชาชีพ แชร์เทคนิคที่เธอใช้: "ดิฉันวางแผนเรื่องเวลาขับถ่ายให้ดี พยายามถ่ายอุจจาระให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง และสังเกตรอบการขับถ่ายของตัวเองจนรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่มักจะมีปัญหาเรื่องแก๊ส เพื่อวางแผนกิจกรรมให้เหมาะสม"
นายแพทย์วิชัยยังแนะนำเพิ่มเติมว่า: "การเดินวันละ 20-30 นาที ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ป้องกันท้องผูก และช่วยให้การระบายแก๊สเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้น"
-
เสริมสร้างระบบย่อยอาหารที่แข็งแรง
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 2024 พบว่า การรับประทานโปรไบโอติกอย่างสม่ำเสมอสามารถลดปัญหาการเกิดแก๊สในลำไส้ได้ถึง 40% โดยเฉพาะสายพันธุ์ Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ การเสริมเอนไซม์ย่อยอาหารก่อนมื้อที่อาจก่อให้เกิดแก๊ส เช่น อาหารที่มีถั่วหรือผักบางชนิด อาจช่วยลดปัญหาลมในท้องได้อีกด้วย
-
เทคนิคการจัดการเมื่อเกิดเหตุการณ์
คุณประภา นักจิตวิทยาชุมชน แนะนำเทคนิคการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในที่สาธารณะ:
"การเดินออกจากพื้นที่แออัดสักพักหากรู้สึกว่ากำลังจะมีปัญหา หรือถ้าเกิดเหตุการณ์แล้ว การรักษาท่าทีปกติและไม่แสดงความตกใจ อาจช่วยให้สถานการณ์ผ่านไปได้ราบรื่นกว่า บางครั้งการจงใจทำเสียงอื่นเพื่อกลบเสียง เช่น ไอ หรือขยับเก้าอี้ ก็เป็นวิธีที่หลายคนใช้ได้ผล และที่สำคัญ การมีอารมณ์ขันกับสถานการณ์จะช่วยลดความอับอายได้มาก"
อารมณ์ขันช่วยได้: 5 ตัวอย่างประโยคและสถานการณ์ที่ช่วยลดความอับอาย
คุณสมศักดิ์ อายุ 68 ปี อดีตครูสอนภาษาไทย แชร์วิธีการใช้อารมณ์ขันเมื่อเกิดเหตุการณ์ในที่สาธารณะ:
- ประโยคทันใจ: "มีคราวหนึ่งผมเผลอผายลมดังในร้านกาแฟเงียบๆ ทุกคนหันมามอง ผมยิ้มแล้วพูดว่า 'ขอโทษครับ ผมแค่กำลังแสดงความเห็นด้วยกับราคากาแฟวันนี้' ทุกคนหัวเราะ สถานการณ์เลยคลี่คลาย"
- เปลี่ยนให้เป็นวิทยาศาสตร์: คุณป้าวัย 72 ปี เล่าว่า "เวลาเกิดเหตุการณ์ ฉันจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า 'โอ้ มลภาวะทางเสียงนี่มาจากไหนนะ?' แล้วทำท่าเหมือนนักสืบกำลังค้นหาต้นเสียง ทำให้คนรอบข้างขำและลืมความอึดอัด"
- โยนให้สัตว์เลี้ยงในจินตนาการ: "สมัยพาหลานไปห้างฯ แล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผมอุทานว่า 'เจ้าตูบเสมือนของคุณตาจำแลงมาอีกแล้ว' หลานๆ จะหัวเราะทุกที เพราะเขารู้ว่าไม่มีหมาจริงๆ และคนรอบข้างก็ยิ้มตามไปด้วย" คุณทวี วัย 75 ปี เล่า
- อ้างถึงนักการเมือง: คุณสุชาติ แชร์เทคนิคว่า "เวลาเกิดเหตุการณ์ในที่ประชุม ผมจะบอกว่า 'นั่นไม่ใช่เสียงผม นั่นเป็นเสียงของความไม่เห็นด้วยกับงบประมาณที่เพิ่งอนุมัติ' แล้วยิ้ม ทุกคนจะหัวเราะและเราก็ประชุมต่อได้"
- ใช้มุกเกี่ยวกับอาหาร: คุณสมพร วัย 70 ปี เล่าว่า "วันหนึ่งฉันไปทานข้าวกับเพื่อนๆ แล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้น ฉันรีบพูดว่า 'นี่แหละค่ะ รีวิวอาหารมื้อเมื่อวานแบบไม่ต้องพูดเยอะ' ทุกคนหัวเราะร่วน แล้วเริ่มเล่าเรื่องอาหารที่ทานแล้วเกิดแก๊สกันอย่างสนุกสนาน"
คุณประภาสรุปว่า "เรื่องธรรมชาติของร่างกายเป็นสิ่งที่ทุกคนมี การใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือช่วยให้ทั้งตัวเราและคนรอบข้างรู้สึกผ่อนคลาย แทนที่จะอึดอัด ที่สำคัญคือต้องรู้จังหวะและไม่ล้อเลียนคนอื่น แต่ทำให้สถานการณ์กลายเป็นเรื่องสนุกที่ทุกคนหัวเราะร่วมกันได้"
ทางออกง่ายๆ: การเคลื่อนไหวกระตุ้นการขับแก๊ส
การเคลื่อนไหวร่างกายแบบเฉพาะเจาะจงสามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและขับแก๊สออกจากลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักกายภาพบำบัด คุณสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ แนะนำวิธีการง่ายๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้าน:
"การเคลื่อนไหวร่างกายในแนวดิ่งเบาๆ เช่น การย่ำเท้าขึ้นลงหรือการกระโดดเบาๆ ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และอวัยวะภายใน ทำให้แก๊สที่สะสมอยู่เคลื่อนที่และถูกขับออกจากร่างกายได้ดีขึ้น"
แทรมโพลีนยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับผู้สูงอายุ การกระโดดเบาๆ ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหน้าท้อง กระตุ้นระบบย่อยอาหาร และช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการลดปัญหาแก๊สสะสมในช่องท้อง
ประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากการขับแก๊ส:
การเคลื่อนไหวโดยใช้แทรมโพลีนในลักษณะนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆ อีกด้วย:
- กระตุ้นระบบน้ำเหลือง: การวิจัยจากวารสาร Lymphatic Research and Biology พบว่า การเคลื่อนไหวร่างกายในแนวดิ่ง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวแบบมีแรงโน้มถ่วงสลับไปมา ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองได้มากกว่าการอยู่นิ่ง 15-30 เท่า
- ช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย: ศาสตราจารย์ ดร.เดวิด นีแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายและภูมิคุ้มกันจากมหาวิทยาลัยแอปพาลาเชียนสเตท อธิบายว่าการเคลื่อนไหวช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยให้ตับและไตทำงานได้ดีขึ้นในการกรองของเสีย
- ลดอาการบวมน้ำ: สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการบวมน้ำที่ขาหรือเท้า การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนและลดอาการบวมได้
วิธีการทำง่ายๆ ที่บ้าน:
คุณสุวรรณแนะนำว่า:
"ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษ การยืนและย่ำเท้าเบาๆ บนพื้นนุ่มๆ เช่น พรมหนาๆ หรือที่นอน ก็ให้ผลดี วิธีการคือ:
- ใช้เวลาแค่ 5 นาทีตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนออกจากบ้าน
- ย่ำเท้าเบาๆ สลับซ้ายขวา หรือเขย่าตัวเล็กน้อยขึ้นลง
- การเคลื่อนไหวควรนุ่มนวลและต่อเนื่อง โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ
- ทำตั้งแต่แรงน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วตามความเหมาะสม
- หากรู้สึกว่าต้องการผายลม ให้ทำต่อไปเพื่อให้แก๊สถูกขับออกมาให้หมดในตอนนั้น"
คุณชำนาญ วัย 78 ปี แชร์ประสบการณ์: "ผมเริ่มใช้วิธีนี้มา 2 ปีแล้ว จากเดิมที่เคยกังวลเรื่องผายลมในที่สาธารณะตลอด ตอนนี้ไม่มีปัญหาเลย เพราะการเขย่าตัวแค่ 5 นาทีทุกเช้าช่วยให้แก๊สถูกขับออกหมดก่อนออกจากบ้าน เป็นวิธีง่ายๆ ที่ได้ผลดีมากสำหรับผม"
สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านข้อเข่าหรือการทรงตัว สามารถทำในท่านั่งได้ โดยเขย่าตัวขึ้นลงเบาๆ หรือหมุนสะโพกเป็นวงกลมบนเก้าอี้ที่มั่นคง ซึ่งยังคงช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และระบบน้ำเหลืองได้
สิ่งที่เราทุกคนควรเข้าใจ
สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายคนอาจไม่รู้ว่าการผายลม 10-20 ครั้งต่อวันถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ การศึกษาจาก The American Journal of Gastroenterology ระบุว่า คนปกติทั่วไปจะมีการผายลมเฉลี่ย 13-21 ครั้งต่อวัน และตัวเลขนี้อาจสูงถึง 25-30 ครั้งในผู้สูงอายุ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกิน อายุ และปัจจัยอื่นๆ
รศ.นพ.ธีระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กล่าวว่า "สังคมไทยมักมองเรื่องการผายลมเป็นเรื่องน่าอาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นกระบวนการทางสรีรวิทยาปกติของร่างกาย การยอมรับและเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่ไม่จำเป็น ซึ่งความเครียดเองก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานแย่ลงและอาจเพิ่มปัญหาแก๊สได้"
ก้าวต่อไปของคุณ
วันนี้เราได้เรียนรู้แล้วว่า การผายลมในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ แต่มีวิธีมากมายที่จะช่วยลดปัญหานี้ได้
ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้:
- ปรับเปลี่ยนอาหารและวิธีการกิน
- วางแผนการขับถ่ายและกิจกรรมนอกบ้าน
- เสริมสร้างระบบย่อยอาหารด้วยโปรไบโอติกและเอนไซม์
- ฝึกเทคนิคการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพร่างกาย รวมถึงระบบย่อยอาหารที่ดี เป็นกุญแจสำคัญสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และที่สำคัญ การเข้าใจร่างกายตัวเองคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
คุณหรือผู้สูงอายุในครอบครัวเคยพบปัญหาแบบนี้หรือไม่? ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ และแบ่งปันประสบการณ์ของคุณกับเราได้ที่ช่องทางการติดต่อด้านล่าง เพราะการพูดคุยแลกเปลี่ยนคือการช่วยให้สังคมเราเปิดกว้างและเข้าใจเรื่องธรรมชาติของร่างกายมากขึ้น!
โดยสรุปแล้วนัั้น ปัจจุบันมีการแนะนำให้ผู้สูงอายุใช้แทรมโพลีนเพื่อสุขภาพในการกระตุ้นระบบย่อยอาหารและขับแก๊ส แทรมโพลีนแบบวงกลมขนาดเล็ก (Mini Trampoline) สามารถใช้ในบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะการกระโดดเบาๆ วันละไม่กี่นาที ช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ลดการสะสมของลม และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเสริมการทรงตัวและลดโอกาสหกล้มในผู้สูงอายุอีกด้วย
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อ แทรมโพลีน Trampoline เครื่องออกกำลังกายในบ้าน จาก Smartplay Only
Tel: 092-742-7447 | Email: info4rjw@gmail.com
Line Official: @SmartPlayOnly | Facebook: JumpSmartPlayOnly